03 สิงหาคม 2559

ตอนที่ 4 ทำให้เด็กร้องไห้ซะแล้ว

วันที่ 2 สิงหาคม 2558 พวกเรามีโปรแกรมลงแข่งกับทีมชาติเวียดนามเป็นนัดรองสุดท้ายของรอบแรก สถานการณ์ในตอนนั้น เราอยู่อันดับสองของกลุ่ม ถ้าต้องการการันตีการเข้ารอบก็ต้องชนะเวียดนามให้ได้ ส่วนเวียดนามอยู่อันดับสี่ หากเอาชนะไทยได้ โอกาสเข้ารอบก็ยังมีอยู่เช่นกัน

เป็นที่รู้กันดีว่าเวียดนามเป็นประเทศที่คลั่งไคล้เกมลูกหนังมาก ฟุตบอลลีกอาชีพของเวียดนามเริ่มเป็นรูปเป็นร่างก่อนประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ โดยในยุคนั้นสโมสรฟุตบอลอาชีพในเวียดนามสามารถจ้างนักเตะชื่อดังค่าตัวแพงของไทยหลายคนไปร่วมงาน เช่น เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และดุสิต เฉลิมแสน เป็นเวลาเดียวกับที่ฟุตบอลลีกอาชีพของไทยยังไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่นัก

ส่วนในฟุตบอลระดับทีมชาติ ทีมชาติเวียดนามมีความมุ่งมั่นที่จะทาบรัศมีและโค่นทีมชาติไทยให้ได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับเยาวชนที่เวียดนามได้พยายามพัฒนานักฟุตบอลสายเลือดใหม่ขึ้นมาและหวังจะเป็นผู้นำในย่านอาเซียนและก้าวไปสู่ระดับเอเชียให้ได้

หากไล่เรียงรายชื่อแต่ละชาติในกลุ่มนี้ซึ่งประกอบด้วย ลาว เวียดนาม ติมอร์ บรูไน และไทย ตามชื่อชั้นแล้วทีมที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเข้ารอบรองชนะเลิศคือ ไทยและเวียดนาม แต่กลับเป็นลาวที่ทำผลงานได้ดีคือชนะไทย และเสมอเวียดนาม ทำให้ไทยต้องมาแย่งชิงการเข้ารอบกับเวียดนาม
การแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยและทีมชาติเวียดนามไม่ว่าจะเป็นชุดใหญ่หรือชุดเยาวชนก็มีความพิเศษในตัวของมันเองอยู่แล้วทำให้ผมมีความรู้สึกกดดันและตื่นเต้นอยู่พอสมควร




คิกออฟเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง ที่สนาม Olympic Stadium สภาพอากาศค่อนข้างดีและไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก แต่ต้องไม่ลืมว่าฝนที่พนมเปญในช่วงนั้นมาค่อนข้างตรงเวลาคือสี่โมงเย็น ทีมชาติไทยลงเล่นด้วยความมั่นใจหลังจากทำผลงานได้ดีชนะมาสองนัดรวด เริ่มเกมมาได้ไม่เท่าไหร่ กลายเป็นเวียดนามที่ได้บุกอยู่ข้างเดียว มีโอกาสทำประตูหลายครั้ง เราทำได้แค่เพียงเล่นเกมรับไม่มีโอกาสไปถึงหน้าประตูเวียดนามเลย ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีฝนเริ่มตกลงมา เราเกือบเสียประตูหลายครั้ง ผมคิดกับตัวเองว่าแย่แน่นัดนี้


แต่ฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทั้งสองทีมเล่นบอลกันยากขึ้น จนกระทั่งนาทีที่ 35 ผู้ตัดสินเป่านกหวีดหยุดพักการแข่งขันเนื่องจากฝนที่ตกอย่างหนัก ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมา เพราะทำให้เห็นว่าฝนฟ้าเป็นใจให้กับเราและอย่างน้อยก็ให้เด็กเราได้พักหายใจหายคอบ้างจากที่เจียนไปเจียนอยู่จะเสียประตูอยู่หลายครั้ง
สามสิบนาทีผ่านไป ผู้ตัดสินเรียกทั้งสองทีมกลับลงสนามแข่งขันต่อทันทีที่ฝนซา จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0 - 0 เริ่มครึ่งหลังมาได้ไม่เท่าไหร่ เราได้ลูกเตะมุมครั้งแรก เปิดลูกเข้ามาหน้าประตูกองหลังเวียดนามสกัดผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเองไป ทีมชาติไทยนำ 1 - 0 แล้วก็เหมือนหนังคนละม้วน เหมือนบอลได้ใจ เหมือนปลาได้น้ำ ฟอร์มการเล่นเราดีขึ้น รูปเกมดีขึ้น และยิงประตูปิดท้ายเอาชนะเวียดนามได้ 2 - 0 ผลการแข่งขันแบบนี้ทำให้ไทยและลาวเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นที่แน่นอน ส่วนเวียดนามตกรอบแรกไป

หลังจบเกมที่ซุ้มม้านั่งสำรอง ผมยืนรอสัมผัสมือกับนักฟุตบอลเวียดนามทั้งตัวจริงและตัวสำรอง ซึ่งส่วนใหญ่เดินร้องไห้น้ำตานองหน้าเข้ามาจับมือกับผมและทีมงานสตาฟโค้ชของเรา ผมก็ได้แต่พูดปลอบใจเด็กพวกนั้นไปพลางคิดในใจว่าช่วยไม่ได้จริงๆ นะน้อง


ตอนที่ 3 เหมือนเป็นคนละทีม

วันที่ 1 สิงหาคม 2558 พวกเรามาที่สนาม Olympic Stadium เพื่อแข่งกับทีมชาติติมอร์ต่อในครึ่งหลัง เช้าวันนั้นแดดแรงและอากาศร้อนผิดจากเมื่อวาน สนาม Olympic Stadium เป็นสนามหญ้าเทียมที่มีไอร้อนจากพื้นสนามระอุขึ้นมา ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ผมกังวลใจกลัวว่าเราจะตกเป็นรองติมอร์มากกว่าเดิม ที่เมื่อวานดูเหมือนเราจะสู้ความแข็งแกร่งไม่ได้แล้วยังต้องมาเจออากาศแบบนี้อีก แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ายังพอมีความหวังอยู่คือฟุตบอลนักเรียนที่น้องๆลงแข่งเป็นประจำก็แข่งกันช่วงเวลากลางวันนี้แหละ บางนัดแข่งกันตอนเที่ยงวันก็มี



ในเกมการแข่งขัน ฟอร์มการเล่นของน้องๆ แต่ละคนเหมือนเป็นคนละทีมจากเมื่อวาน การผ่านบอล จังหวะการเข้าทำ และการยิงประตู ทำได้ดีมาก กองหลังเล่นแน่นอน กองกลางจ่ายบอลได้ดี มีจังหวะผ่านบอลให้กองหน้าเราทะลุเข้าไปจบสกอร์ทำประตูได้ และมีจังหวะยิงไกลสวยๆ จบการแข่งขันเราชนะ 3-0 ผมกลับมาถามตัวเองในค่ำวันนั้นว่า ถ้าเมื่อวานไม่มีฝนตกจนทำให้ต้องเลื่อนการแข่งขัน อะไรจะเกิดขึ้น จึงเริ่มเห็นว่าทีมของเรานอกจากฝีเท้าจะไม่เป็นรองทีมไหนแล้ว ยังมากับดวงอีกต่างหาก และสิ่งที่ผมคิดไว้ก็มาชัดเจนขึ้นอีกในวันที่เราพบกับทีมชาติเวียดนาม





ตอนที่ 2 เมื่ออากาศเป็นใจ

ผมยอมรับเป็นการส่วนตัวเลยว่านอกเหนือจากความสามารถของตัวน้องๆนักฟุตบอล รวมถึงโค้ชและทีมงานที่มีส่วนช่วยให้ทีมชาติไทยชุด U16 ได้แชมป์อาเซียนในปี 2015 ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งคือ "สภาพอากาศ"

ในการแข่งขันรอบแรก พวกเราต้องลงฝึกซ้อมและแข่งขันท่ามกลางสายฝนแทบทุกวัน ฝนตกหนักจนทำให้มีการเลื่อนการแข่งขันถึงสองนัดติดต่อกัน ซึ่งผมมองว่าการเลื่อนการแข่งขันนี้แหละเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ

วันที่ 31 กรกฎาคม 2558 เวลาบ่ายสามโมงครึ่ง ที่สนาม Army Stadium กรุงพนมเปญ ทีมชาติไทยมีโปรแกรมแข่งขันรอบแรกนัดที่สามพบกับติมอร์ เลสเต แม้ว่าพวกเราจะแก้ตัวจากการแพ้ลาวในนัดแรกด้วยการเอาชนะมาเลเซียมาได้ แต่โอกาสเข้ารอบก็ยังเป็นของทุกทีมในกลุ่ม ซึ่งมีติมอร์และเวียดนามเป็นคู่แข่งสำคัญของเรา

ทีมชาติติมอร์พักอยู่โรงแรมเดียวกับทีมชาติไทย เด็กแต่ละคนดูโตเกินอายุจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาโกงอายุมาหรือเปล่า เพราะเทียบกับเด็กไทยแล้วพวกนั้นดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทาง เด็กไทยบางคนแค่เดินข้ามถนนไปซื้อของใช้ส่วนตัวที่ร้านขายของใกล้โรงแรมยังต้องรอเพื่อนเพื่อไปพร้อมกันเป็นกลุ่ม ส่วนเด็กติมอร์ที่ผมสังเกตเห็น บางคนไปเดินเล่นไปซื้อของกันในร้านที่อยู่ไกลออกไปแบบไม่ค่อยกลัวอะไรนัก พูดคุยทักทายกับคนโน้นคนนี้แบบไม่เคอะเขิน และโตเป็นหนุ่มชนิดที่ว่าชอบแซวพนักงานสาววัยรุ่นของโรงแรมด้วย จนพนักงานคนนั้นต้องหลบเข้าไปอยู่ในครัว

น้องๆ ช้างศึกจูเนียร์ลงแข่งขันในวันนั้นด้วยความมุ่งมั่น และดูจะผ่อนคลายความเครียดไปได้พอสมควรหลังจากพบกับชัยชนะมาในนัดก่อนหน้านี้ ช่วงต้นของการแข่งขันสภาพอากาศดีมาก แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าฝนจะตก เพราะสังเกตมาหลายวันแล้วว่าช่วงนั้นจะเริ่มมีฝนตกสักประมาณสี่โมงเย็นเป็นประจำที่พนมเปญ รูปเกมของเราไม่ดีเท่าที่ควร ดูแล้วสู้ความแข็งแกร่งของติมอร์ไม่ได้เลย และเรายังไม่สามารถสร้างเกมของเราเองขึ้นมาได้ ในเวลานั้นผมยอมรับตามตรงว่าเราอาจจะแพ้ถ้าเป็นแบบนี้


การแข่งขันผ่านไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมงฝนตกลงมาอย่างหนักตามเวลาที่คาดไว้ ทั้งสองทีมลุยฝนแข่งกันจนกระทั่งหมดเวลาการแข่งขันในครึ่งแรก เสมอกันอยู่ 0-0 และก่อนจะถึงเวลาเริ่มครึ่งหลัง ฝ่ายจัดการแข่งขันมาแจ้งกับผมในฐานะตัวแทนของผู้จัดการทีมว่าขอให้รออีก 30 นาทีถึงจะเริ่มทำการแข่งขันเพราะดูสภาพสนามแล้ว น้ำท่วมขังแข่งต่อไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไปฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฝ่ายจัดการแข่งขันจึงขอเลื่อนไปแข่งในวันรุ่งขึ้น ตอนสิบโมงเช้า ที่สนาม Olympic Stadium ผมจึงได้ไปแจ้งให้โค้ชทราบและพวกเราก็เตรียมตัวกลับโรงแรมที่พัก

ในระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งรถออกจากสนาม ฝนหยุดตกไปได้สักพัก มีนักฟุตบอลสโมสรอาร์มี่ ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลลีกอาชีพของกัมพูชาเตรียมตัวลงซ้อมใช้สนามต่อ ผมคิดกับตัวเองว่าโชคดีแล้วที่เลื่อนการแข่งขัน ถ้าขืนแข่งกันต่อ ฟอร์มการเล่นและรูปเกมแบบนี้พวกเรามีสิทธิ์แพ้


02 สิงหาคม 2559

ตอนที่ 1 คิดทบทวน

หนึ่งปีที่ผ่านมา ถือเป็น Coming of age อีกครั้งของชีวิตที่ได้เจอประสบการณ์ดีๆ และทำให้ชีวิตก้าวผ่านวันเวลามาอีกขั้น

จากงานประจำเป็นอาจารย์สอนหนังสือก็ได้ไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมฟุตบอลอุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด สักพักก็มีโอกาสทำงานเลขานุการทีมฟุตบอล U16 ทีมชาติไทย ไปแข่งที่เขมร ชนะเวียดนาม ชนะออสเตรเลีย ชนะพม่า ได้แชมป์อาเซียน AFF U16 แถมเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาติไทยไปแข่งชิงแชมป์เอเชียรอบคัดเลือกที่สิงคโปร์




แล้วก็ลาออกจากงานที่ทำมา 13 ปี ย้ายไปอยู่ที่ใหม่

ถ้าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวก็อยากจะพูดถึงช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้มากเป็นพิเศษ