ในการแข่งขันรอบแรก พวกเราต้องลงฝึกซ้อมและแข่งขันท่ามกลางสายฝนแทบทุกวัน ฝนตกหนักจนทำให้มีการเลื่อนการแข่งขันถึงสองนัดติดต่อกัน ซึ่งผมมองว่าการเลื่อนการแข่งขันนี้แหละเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
วันที่ 31 กรกฎาคม 2558 เวลาบ่ายสามโมงครึ่ง ที่สนาม Army Stadium กรุงพนมเปญ ทีมชาติไทยมีโปรแกรมแข่งขันรอบแรกนัดที่สามพบกับติมอร์ เลสเต แม้ว่าพวกเราจะแก้ตัวจากการแพ้ลาวในนัดแรกด้วยการเอาชนะมาเลเซียมาได้ แต่โอกาสเข้ารอบก็ยังเป็นของทุกทีมในกลุ่ม ซึ่งมีติมอร์และเวียดนามเป็นคู่แข่งสำคัญของเรา
ทีมชาติติมอร์พักอยู่โรงแรมเดียวกับทีมชาติไทย เด็กแต่ละคนดูโตเกินอายุจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาโกงอายุมาหรือเปล่า เพราะเทียบกับเด็กไทยแล้วพวกนั้นดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทาง เด็กไทยบางคนแค่เดินข้ามถนนไปซื้อของใช้ส่วนตัวที่ร้านขายของใกล้โรงแรมยังต้องรอเพื่อนเพื่อไปพร้อมกันเป็นกลุ่ม ส่วนเด็กติมอร์ที่ผมสังเกตเห็น บางคนไปเดินเล่นไปซื้อของกันในร้านที่อยู่ไกลออกไปแบบไม่ค่อยกลัวอะไรนัก พูดคุยทักทายกับคนโน้นคนนี้แบบไม่เคอะเขิน และโตเป็นหนุ่มชนิดที่ว่าชอบแซวพนักงานสาววัยรุ่นของโรงแรมด้วย จนพนักงานคนนั้นต้องหลบเข้าไปอยู่ในครัว
น้องๆ ช้างศึกจูเนียร์ลงแข่งขันในวันนั้นด้วยความมุ่งมั่น และดูจะผ่อนคลายความเครียดไปได้พอสมควรหลังจากพบกับชัยชนะมาในนัดก่อนหน้านี้ ช่วงต้นของการแข่งขันสภาพอากาศดีมาก แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าฝนจะตก เพราะสังเกตมาหลายวันแล้วว่าช่วงนั้นจะเริ่มมีฝนตกสักประมาณสี่โมงเย็นเป็นประจำที่พนมเปญ รูปเกมของเราไม่ดีเท่าที่ควร ดูแล้วสู้ความแข็งแกร่งของติมอร์ไม่ได้เลย และเรายังไม่สามารถสร้างเกมของเราเองขึ้นมาได้ ในเวลานั้นผมยอมรับตามตรงว่าเราอาจจะแพ้ถ้าเป็นแบบนี้
ในระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งรถออกจากสนาม ฝนหยุดตกไปได้สักพัก มีนักฟุตบอลสโมสรอาร์มี่ ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลลีกอาชีพของกัมพูชาเตรียมตัวลงซ้อมใช้สนามต่อ ผมคิดกับตัวเองว่าโชคดีแล้วที่เลื่อนการแข่งขัน ถ้าขืนแข่งกันต่อ ฟอร์มการเล่นและรูปเกมแบบนี้พวกเรามีสิทธิ์แพ้